เครือข่ายฯยืนหนังสือถึงสุริยะ ค้านเลื่อนสารพิษข้ออ้างฟังไม่ขึ้น

หลังจากมีกระแสข่าวว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมการจะหารือเพื่อเลื่อนการแบนสารพิษกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่พาราควอต และคลอร์ไพริฟอสออกไป จากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ออกไปเป็นสิ้นปี 2563 นั้น

วันนี้ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง โดยนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ และนางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นตัวแทนได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงอุตสาหกรรม ถึงนายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อคัดค้านการเลื่อนการแบนสารพิษดังกล่าว โดยมีนางรัตนา รักษ์ตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้มารับมอบหนังสือแทน

รายละเอียดหนังสือถึงนายสุริยะ มีข้อความดังนี้

“ตามที่เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่ตระหนักและห่วงกังวลเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และติดตามการพิจารณาควบคุมการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2563 ได้ปรากฎข่าวที่อ้างถึงหนังสือเลขที่ สค.065/2563 จากนายกลินท์ สารสิน เพื่อขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศในการกำหนดให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จาก 1 มิถุนายน 2563 เป็น 31 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าจะสิ้นสุดลง และมีผู้ประกอบการธุรกิจเคมีเกษตรติดตามการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตนั้น

เครือข่ายฯเห็นว่า

1) ข้ออ้างของนายกลินท์ สารสินให้ขยายเวลาการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 โดยกังวลเรื่องการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 2 ขนิดในผลผลิตที่นำเข้าแล้วจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตมากว่าทศวรรษ สหภาพยุโรปประกาศแบนคลอร์ไพริฟอสตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ 2563 หรือเวียดนามซึ่งแบนพาราควอตเมื่อปี 2560 และแบนคลอร์ไพริฟอสเมื่อต้นปี 2562 เป็นต้น ไม่มีประเทศใดอ้างปัญหาการตกค้างจนส่งผลกระทบต่อการผลิตและอุตสาหกรรมใดๆเลย แม้กระทั่งจดหมายของสหรัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ส่งมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อคัดค้านการแบนไกลโฟเซต แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการแบนและอ้างการตกค้างของพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสแต่ประการใด

2) ไม่เห็นด้วยกับออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายเพิ่มเติมทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหนึ่งที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ครั้งที่ 1-1/2562 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 พิจารณาเลื่อนระยะเวลาการแบนออกไปอีก 6 เดือน เป็น 1 มิถุนายน 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสามารถจำหน่ายสต็อคสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคงค้าง โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียค่าทำลาย การนำเข้ามาเพิ่มเติมเป็นการกระทำที่ขัดกับมติและเจตนาของการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงของคณะกรรมการฯเอง และจะถูกครหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน โดยปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรมรองรับ

3) เครือข่ายฯยืนยันข้อเรียกร้อง ให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายและออกมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ในการประชุมครั้งที่ 41-9/2562 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นมติโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งลงมติให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามหนังสือเลขที่ มชว.-คตส. 013/2563 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563

ในหนังสือถึงนายสุริยะ ได้สรุปว่า

“ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤต COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจ เครือข่ายฯหวังว่าจะไม่เกิดการซ้ำเติมปัญหาสุขภาพทั้งของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยยื้อการแบนสารพิษร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดออกไป ภายใต้วิกฤตนี้ ประเทศต้องทบทวนการผลิตพืชอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวที่ใช้สารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมผสมผสานที่ลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุนการผลิต และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับรายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ให้แบนสารเคมีร้ายแรงทั้ง 3 ชนิด และส่งเสริมเกษตรกรรมอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืนให้มีพื้นที่ 100% ของพื้นที่เกษตรกรรมในปี 2573
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา”

จับตา การประชุมในวันที่ 30 เมษายนนี้ว่า จะเป็นการฉวยโอกาสสถานการณ์ไวรัสระบาดเลื่อนเวลาการแบนออกไปหรือไม่ ?