กระชากหน้ากากกรมวิชาการเกษตร เบื้องหลังการเตรียมการขึ้นทะเบียนสารพิษฟูราดานที่ทั่วโลกห้ามใช้

คาร์โบฟูรานหรือฟูราดานคือสารเคมีฆ่าแมลงที่มีปริมาณการนำเข้าประเทศสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารเคมีฆ่าแมลงทั้งหมดที่นำเข้าประเทศไทย โดยสถิติเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมามีการนำเข้าสารพิษร้ายแรงที่หลายประเทศทั่วโลกห้ามใช้แล้วนี้เข้ามาในประเทศไทยสูงถึง 9.5 ล้านกิโลกรัม !  โดยมากกว่า 90% ถูกนำเข้ามาโดยบริษัทข้ามชาติ “เอฟเอ็มซีคอร์ปอเรชั่น” บริษัทสัญชาติสหรัฐ ซึ่งมีโรงงานผลิตสารนี้อยู่ทั้งในสหรัฐและอินโดนีเซีย สารเหล่านี้ถูกผลักดันท่วมทะลักประเทศประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ เพราะสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหรัฐหรืออีพีเอได้ประกาศให้ยกเลิกการใช้ฟูราดานในพืชทุกชนิดของตนโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศสหภาพยุโรปที่มีประเทศต่างๆเป็นสมาชิก จำนวน 27 ประเทศ ห้ามใช้แล้วมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่นับประเทศจีนที่แต่ก่อนได้ชื่อว่ามีปัญหามาตรฐานเรื่องอาหารต่ำที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ยักษ์ใหญ่ของเอเชียได้ประกาศแล้วเมื่อเร็วๆนี้ว่าจะไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนสารพิษนี้อีกต่อไป

สหรัฐประเมินล่าสุดพบมีพิษภัยร้ายแรงเกินกว่าจะยอมรับได้

หลังจากมีรายงานว่าคนอเมริกันได้รับพิษจากการบริโภคแคนตาลูปที่มีการใช้ฟูราดานจำนวนหลายราย อีพีเอได้เริ่มประเมินความเสี่ยงจากสารพิษนี้อย่างจริงจังเมื่อกลางปี 2548 ในรายงานอย่างเป็นทางการของอีพีเอ (Carbofuran; Order Denying FMC’s Objections and Requests for Hearing; Final Rule) พบว่ามีความเสี่ยงสูงถึงขนาดที่ว่าเด็กอายุ 3-5 ปี ที่บริโภคผลแคนตาลูปในปริมาณเพียงครึ่งถ้วยจะมีโอกาสได้รับปริมาณคาร์โบฟูรานระหว่าง 1.8-72 เท่าของค่ามาตรฐาน ( aPAD-Acute Population Adjusted Dose) ลองนึกดูว่าประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่าสหรัฐ 20 เท่าแต่มีปริมาณการใช้ฟูราดานต่อปีมากกว่านั้น เด็กหรือผู้หญิงมีครรภ์ที่บริโภคแตงโม องุ่น หรือคะน้าที่มาจากแปลงที่หยอดฟูราดานนั้นจะได้รับสารอันตรายนี้ขนาดไหน ?!

หลังจากศึกษาอย่างรอบคอบว่า  “การตกค้างของคาร์โบฟูรานในอาหารมีความเสี่ยงร้ายแรงเกินระดับที่จะยอมรับได้ ไม่ว่าจะมีการตกค้างในระดับใดก็ตามล้วนไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค” อีพีเอได้ประกาศให้ยกเลิกการใช้ฟูราดานในสหรัฐอเมริกาในพืชเกษตรและอาหารทั้งหมดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2552

เอฟเอ็มซีวิ่งพล่านคัดค้านเรื่องนี้โดยล็อบบี้ให้กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ 3 กลุ่มคือ สมาคมผู้ปลูกข้าวโพด สมาคมทานตะวัน และสภามันฝรั่ง กดดันให้ยกเลิกคำประกาศดังกล่าว พร้อมขอต่อรองกับทางการสหรัฐให้อนุญาตเพื่อใช้กับพืชบางประเภทได้ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ พวกเขาจึงยื่นฟ้องต่อศาลอุทธรณ์ในวันที่ 22 มีนาคม 2553 ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินไม่รับคำร้อง พันธมิตรแห่งสารพิษกลุ่มนี้ไม่ยอมแพ้โดยยื่นต่อศาลสูงสหรัฐให้พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง และต่อมาศาลสูงสหรัฐได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2011 ยืนตามศาลอุทธรณ์ [1] ส่งผลให้คาร์โบฟูรานหรือฟูราดานไม่สามารถใช้กับพืชเกษตรและอาหารในแผ่นดินสหรัฐอเมริกาได้อีกต่อไป

 

กรมวิชาการเกษตร : หรือกรมการสนับสนุนสารพิษ ?

เมื่อปี 2552 กรมวิชาการเกษตรร่วมกับคณะกรรมการวัตถุอันตรายสร้างข่าวฉาวโฉ่เมื่อประกาศให้พืชสมุนไพรจำนวน 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย โดยผู้ใดก็ตามที่เพียงแต่แปรรูปเบื้องต้นพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเพื่อขายสำหรับวัตถุประสงค์ในการควบคุมศัตรูพืชจะมีความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับหากไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงาน  น่าฉงนที่พืชสมุนไพรที่ปู่ย่าตายายใช้รับประทานมานานหลายชั่วคนกลายเป็นสารพิษที่ต้องควบคุม ? แต่สารพิษแท้ๆที่หลายประเทศทั่วโลกเลิกใช้อย่างคาร์โบฟูรานกำลังจ่อประกาศให้ขึ้นทะเบียน ? นี่คือกรมวิชาการเกษตรซึ่งควรทำหน้าที่ทางวิชาการอย่างโปร่งใส หรือ “กรมการสนับสนุนสารพิษ” กันแน่ ?

ขณะที่กำลังนับถอยหลังการเกษียณอายุของใครบางคนในกรมวิชาการเกษตร มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นหลายประการ

ความไม่ชอบมาพากลประการที่หนึ่ง ช่วงชิงใช้คนของตนทำการวิจัยเพื่อสนับสนุนบริษัท

หลังจากการเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทยเคลื่อนไหวอย่างหนักให้ยกเลิกสารเคมี 4 ชนิดซึ่งมีคาร์โบฟูราน และเมโทมิลเป็นเป้าหมายหลัก เอฟเอ็มซีพยายามลดความกดดันโดยแสดงความประสงค์ขอขึ้นทะเบียนให้ฟูราดานสำหรับใช้กับนาข้าวเป็นหลักเท่านั้น  ความไม่ชอบมาพากลเริ่มต้นขึ้นเมื่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตรรับลูกด้วยการมอบหมายให้นักวิชาการของกรมไปศึกษาเรื่องผลกระทบของสารนี้ในนาข้าว ทั้งที่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องข้าวนั้นควรเป็นหน้าที่ของกรมการข้าวซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญที่ทำเรื่องนี้โดยตรงและติดตามปัญหาของสารพิษตัวนี้มานาน  ปรากฎว่าผลการทดลองของเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรออกมาเป็นที่พอใจของบริษัทเอฟเอ็มซีอย่างมาก เพราะผลการทดลองซึ่งกรมนำมาเผยแพร่ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมานั้นระบุว่า เมื่อทดลองในนาข้าวพบว่าไม่มีผลกระทบต่อปริมาณตัวอ่อนแมลงที่เป็นประโยชน์ และไม่พบการระบาดเพิ่มของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ขัดแย้งกับผลการทดลองส่วนใหญ่ทั่วโลก

ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปตามหมากที่วางไว้ แต่แล้วจู่ๆตัวแทนจากกรมการข้าวซึ่งรับรับฟังการนำเสนองานดังกล่าวด้วยความอดทนมานาน ลุกขึ้นแย้งว่า ฟูราดานเป็นสารพิษที่กรมการข้าวไม่แนะนำให้ใช้มานานแล้ว(ตั้งแต่สมัยที่กองการข้าวยังรวมอยู่เป็นกองหนึ่งของกรมวิชาการเกษตร) และข้อมูลที่กรมการข้าวซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องข้าวของประเทศขัดแย้งกับข้อสรุปของนักวิชาการที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรมอบหมายให้ไปทำการทดลอง ! การโต้แย้งนี้เกิดขึ้นในที่ประชุมซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คนจากหลายภาคส่วน

หากกรมวิชาการเกษตรดึงดันให้บริษัทเอฟเอ็มซีได้รับการขึ้นทะเบียนตามคำขอ นั่นหมายความว่ากรมวิชาการเกษตรนอกจากจะรับศึกหนักจากเครือข่ายภาคประชาชนและสาธารณชนแล้ว กรมวิชาการเกษตรกำลังเผชิญหน้ากับกรมการข้าวและนักวิชาการเรื่องข้าวด้วย ! อธิบดีกรมวิชาการเกษตรซึ่งจะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน นี้จะตัดสินใจอย่างไร ?

ความไม่ชอบมาพากลประการที่สอง เอาสีข้างเข้าถูเพื่อให้ได้ทะเบียนคาร์โบฟูราน

สัญญาณความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาสดๆร้อนนี้เอง เมื่อตัวแทนจากกรมวิชาการเกษตรซึ่งเข้าไปชี้แจงเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแถ(ลง)ต่อที่ประชุมว่า บริษัทเอฟเอ็มซีมิได้ประสงค์จะขึ้นทะเบียนคาร์โบฟูรานในนาข้าวแต่อย่างใด !?

หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่ามีบุคคลบางกลุ่มในกรมวิชาการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกำลังเล่นบทสนับสนุนให้บริษัทเอฟเอ็มซีสามารถขึ้นทะเบียนให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด คนพวกนี้ทราบดีว่าการอนุญาตให้บริษัทนี้ใช้คาร์โบฟูรานในพืชสักชนิดหนึ่งเช่น ใช้ในการปลูกไม้ดอกไม้ประดับเป็นต้น แต่แล้วในท้ายที่สุด 80% ของสารพิษร้ายแรงนี้จะถูกนำมาใช้กับนาข้าวและพืชอาหารทั้งหมดอยู่ดี พวกเขาขอเพียงแต่จะทำวิธีการใดก็ได้ให้ได้ทะเบียนมาก่อน ฟูราดานที่พวกเขานำเข้ามา 10 ล้านกิโลกรัมจะได้ถูกระบายใช้อย่างไร้การควบคุมในประเทศนี้

ความไม่ชอบมาพากลประการที่สาม การเปลี่ยนหลักการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้แม้ประเทศแหล่งกำเนิดปฏิเสธการใช้

หลักปฏิบัติที่ยึดถือกันมานานในกรมวิชาการเกษตรเองและในหลายอารยะประเทศ หรือแม้แต่ในวงการด้านยารักษาโรคก็คือหลัก “Certificate of Free Sale” ซึ่งมีหลักการว่า สารเคมีหรือเวชภัณฑ์ใดก็ตามที่ถูกห้ามใช้หรือไม่รับขึ้นทะเบียนในประเทศผู้ผลิตหรือแหล่งกำเนิด  ประเทศผู้นำเข้าจะปฏิเสธที่จะให้นำเข้าหรือเข้ามาค้าขายในประเทศของตน  เรื่องนี้เป็นหลักการทั่วไปในการปกป้องคุ้มครองสุขภาวะของประชาชนนั้นเอง แต่ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรกำลังเปลี่ยนหลักการนี้ เพียงเพื่อให้คาร์โบฟูรานสามารถขึ้นทะเบียนได้ในประเทศไทย พวกเขาอ้างว่าคาร์โบฟูรานที่นำเข้านั้นมาจากบริษัทเอฟเอ็มซีสาขาอินโดนีเซีย ไม่ได้นำเข้ามาจากบริษัทแม่ในสหรัฐ พวกเขาจึงมีสิทธิค้าขายสารพิษนี้ได้เพราะที่อินโดนีเซียยังไม่ห้ามใช้สารนี้ในขณะนี้ !

ยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ว่าสิ่งที่กรมวิชาการเกษตรกำลังดำเนินการอยู่นั้นเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์และสุขภาวะของประชาชนไทยและแผ่นดินไทย ? หรือเบื้องหลังสิ่งนี้คือผลประโยชน์จำนวนมากแก่คนบางกลุ่ม ?  ทั้งนี้เนื่องจากตลาด”ฟูราดาน”ของประเทศไทยนั้นมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี การได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้จะทำให้พวกเขาสามารถขายสารพิษนี้ได้ต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปีข้างหน้า ดังนั้นการจ่ายเงินสัก 50-100 ล้านบาทคุ้มค่ามากกับการยอดขายมากกว่า 2,000-3,000 ล้านบาทในอีก 6 ปีข้างหน้าสำหรับประเทศไทย และสูงกว่านั้นอีกหลายเท่าถ้าคิดถึงตลาดในภูมิภาคนี้ทั้งหมด

การเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอฟเอ็มซียังแสดงให้เห็นด้วยว่าหากเขาได้รับชัยชนะในประเทศไทย พวกเขาก็จะยังคงสามารถทำตลาดสารพิษร้ายแรงนี้ได้ในหลายประเทศของอาเซียนด้วย เนื่องจากภูมิภาคนี้กำลังเข้าสู่การกลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกันในปี 2558 ซึ่งหมายถึงว่ามาตรการและกติกาในการควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะต้องประสาน “Harmonize” เข้าหากัน

น่าจับตาว่าภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ หรือในระยะเวลาอันใกล้นี้ กรมวิชาการเกษตรจะขึ้นทะเบียนคาร์โบฟูรานได้สำเร็จตามความประสงค์ของคนบางกลุ่มได้หรือไม่ ? และค่าใช้จ่าย 50-100 ล้านบาทสำหรับการขึ้นทะเบียนสารเคมีสำหรับสารเคมีชนิดนี้ชนิดเดียวที่มีการเล่าลือในวงการสารเคมีนั้นมีจริงหรือไม่ ? และถ้ามีมันจะอยู่ในมือของผู้มีอำนาจระดับใด ?

ผลจะออกมาอย่างไรน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเครือข่ายองค์กรภาคสังคมประกาศเกาะติดไม่ปล่อยอย่างแน่นอน เพราะคาร์โบฟูรานเป็นเพียงหนึ่งในสารพิษร้ายแรงหลายชนิดที่ประเทศไทยควรเลิกใช้มานานแล้วเท่านั้น


[1]  New York Time, 31 April 2011 and Bloomberg, 31 April 2011