อุตสาหกรรมเคมีเกษตรระดับโลก
ตลาดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่ผูกขาดมากที่สุดในโลก โดยมีบรรษัทข้ามชาติเพียง 10 บรรษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึงร้อยละ 89 ของตลาดโลกในค.ศ. 2007 และในปีถัดมายังมีมูลค่าการตลาดสูงขึ้นร้อยละ 22 รวมเป็น 42,112 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.48 ล้านล้านบาท
ตารางที่ (1) มูลค่าตลาดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของโลกปี 2008 และ 2007 และส่วนแบ่งตลาด
ชื่อบรรษัท |
ประเทศ |
มูลค่าตลาด (ล้านดอลล่าห์สหรัฐ) 2008 |
มูลค่าตลาด (ล้านดอลล่าห์สหรัฐ) 2007 |
อัตราการเปลี่ยนแปลง 2008/07 |
ส่วนแบ่งตลาดปี 2007 |
|
---|---|---|---|---|---|---|
1 |
Syngenta | Switzerland |
$9,231 |
$7,285 |
27% |
19% |
2 |
Bayer* | Germany |
$8,682 |
$7,458 |
17% |
19% |
3 |
Monsanto** | US |
$5,333 |
$3,599 |
42% |
9% |
4 |
BASF | Germany |
$4,991 |
$4,297 |
16% |
11% |
5 |
Dow Agrosciences* | US |
$4,065 |
$3,779 |
19% |
10% |
6 |
DuPont | US |
$2,640 |
$2,369 |
10% |
6% |
7 |
Makhteshim Agan | Israel |
$2,335 |
$1,895 |
24% |
5% |
8 |
Nufarm*** | Australia |
$2,287 |
$1,470 |
26% |
4% |
9 |
Sumitomo Chemical | Japan |
$1,378 |
$1,209 |
10% |
3% |
10 |
Arysta Lifescience | Japan |
$1,170 |
$1,035 |
13% |
3% |
รวม |
$42,112 |
$34,396 |
22% |
89% |
||
* ไม่รวมกิจการด้านเมล็ดพันธุ์ ** จบปี พฤศจิกายน 2008 *** จบปี มกราคม 2009 |
ข้อมูลจาก Agri Marketing, 2009 http://news.agropages.com/News/NewsDetail—1318.htm และ Who Owns Nature? Corporate Power and the Final Frontier in the Commodification of Life, ECT Group, 2008; Agrow World Crop Protection News, 2008
หากเปรียบเทียบผู้นำตลาดสารเคมีเกษตรของโลกในค.ศ.1996/97 กับในปัจจุบัน จะพบว่า 6 บรรษัทผู้นำที่มีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 74 ของปัจจุบันนั้นเกิดจากการรวมกิจการของหลายบรรษัทใหญ่ในอดีต โดยเฉพาะซินเจนทาและไบเออร์ (ภาพประกอบที่ 1.1 และ 1.2) ซึ่งมีประวัติการรวมกิจการที่ยาวนานและซับซ้อน ผ่านการรวมหรือซื้อกิจการอื่นเกือบสิบครั้งในระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา ส่วนบรรษัทอันดับที่ 7 ถึง 10 จากรายชื่อผู้นำตลาด (Top 10) ได้เติบโตขึ้นหลังการหมดอายุของสิทธิบัตรสารเคมีเกษตรหลายชนิด
แต่ระหว่างบรรษัทเหล่านี้ก็มีการร่วมมือกัน เช่น การรวมทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา หรือการร่วมก่อตั้งสหพันธ์ ครอปไลฟ์อินเตอร์เนชั่นเนล (Crop Life International) ที่ทำหน้าที่ในการสนับสนุนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช “ที่ปลอดภัย” ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
บริษัทและตลาดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย
ตลาดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทยเกิดขึ้นหลังมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจ (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉ.1) ที่สนับสนุนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวในรูปแบบอุตสาหกรรม โดยในช่วงปฏิวัติเขียวตั้งแต่ปี 2504 ผู้ประกอบการคนไทยดำเนินธุรกิจปุ๋ยเคมีควบคู่กับการเป็นตัวแทนจำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจากบรรษัทข้ามชาติ เมื่อตลาดเติบโตขึ้นจึงมีการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติมาตั้งสาขาของตนเองในประเทศ เช่น มอนซานโต้ในปี 2511 และไบเออร์ครอปไซน์ในปี 2525 (ปัจจุบันชื่อ ไบเออร์ไทย) เป็นต้น การขยายตัวทางธุรกิจของบรรษัทข้ามชาติทำให้ผู้ประกอบการไทยหันไปซื้อสารเคมีชื่อสามัญ (generic) จากแหล่งผลิตในประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีนและอินเดีย มากขึ้น
ธุรกิจเคมีเกษตรในประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีผู้นำเข้า 236 ราย ผู้ผสมปรุงแต่งสารเคมี 90 ราย ผู้ขายส่ง 543 ราย และผู้ขายปลีก 15,822 ราย มีอัตราการเติบโตของตลาดเฉลี่ย 6-7% ต่อปี โดยมีผู้ครองตลาด 5 รายแรก ได้แก่ ซินเจนทาครอปโปรเทคชั่น เอราวัณเคมีเกษตร ไบเออร์ไทย ลัดดา และเมเจอร์ฟาร์ ครอบครองตลาด 36% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด บริษัทเหล่านี้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างครบวงจรตั้งแต่การขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย การนำเข้า ผลิต/ปรุงแต่ง และจำหน่าย และยังได้ประกอบกิจการในด้านอื่นๆ เช่น เคมีภัณฑ์ด้านโภชนาการ การแพทย์ ปิโตรเคมี ฯลฯ ยกเว้นบริษัทซินเจนทาแห่งเดียวที่มีเพียงธุรกิจสารเคมีเกษตร
ผู้ประกอบการมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดด้วยนโยบายส่งเสริมการขายนานัปการ ในทวีปเอเชีย บรรษัทเคมีเกษตรได้ลงทุนด้านการส่งเสริมการขายถึง 1,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี และสำหรับประเทศไทย การสำรวจค่าใช้จ่ายของ 7 บริษัทรายใหญ่ผู้นำเข้า ผสมปรุงแต่ง และจำหน่ายสารเคมีเกษตร (ได้แก่ บริษัทโซตัส อินเตอร์เนชั่นแนล, เจียไต๋, เชอร์วู้ด เคมิคอล, ที.เจ.ซี. เคมี, เมเจอร์ฟาร์ คอร์ปอเรชั่น, เอสแอนด์พี ฟอร์มูเลเตอร์, และ ฮุยกวง) ชี้ว่า มีการลงทุนด้านการตลาดและโฆษณา 400 ล้านบาทในปี 2552 ซึ่งมากกว่าการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสารเคมีในปีเดียวกันที่มีมูลค่า 8.5 ล้านบาท (46 เท่าตัว)
นอกเหนือจากการใช้ช่องทางการสื่อสารและโฆษณาแล้ว บริษัทยังใช้กลวิธีเพิ่มชื่อการค้าและทำให้เกษตรกรผู้ซื้อเกิดความสับสนเพื่อสร้างความแตกต่างและเปิดช่องทางการซื้อขาย เช่น มีการจดทะเบียนการค้าสารเคมีเกษตรในชื่อต่างกัน แม้ว่าจะเป็นสารชนิดเดียวกัน สูตรเดียวกัน แหล่งผลิตจากต่างประเทศเดียวกัน และผู้ประกอบการในประเทศบริษัทเดียวกัน
ตารางที่ (2) ผู้นำด้านการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูในปี 2550
การร่วมมือกันของเหล่าบริษัทเคมีเกษตร
แม้การแข่งขันทางการตลาดยังอยู่ในระดับสูง แต่บริษัทสารเคมีเกษตรมีการร่วมมือกันเพื่อประสานงานกับภาครัฐ และสร้างความเข้มแข็งในการประกอบกิจการผ่านโครงการต่างๆ ผ่านการทำงานของสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี และสมาคมอารักขาพืชไทยซึ่งเป็นเครือข่าย สหพันธ์ครอปไลฟ์เอเชีย (Crop Life Asia) และครอปไลฟ์อินเตอร์เนชั่นเนล (Crop Life International) สมาคมทั้งสองแห่งนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเพราะมีหลายบริษัทที่อยู่ในรายชื่อสมาชิกของทั้งสองสมาคมเช่น เจียไต๋ ป.เคมีเทค และเอราวัณเคมีเกษตร กิจกรรมหลักของสมาคม ได้แก่ การประสานงานด้านวิชาการและกฎระเบียบต่างๆ เรื่องการจัดการสารเคมีกำจัดศัตรูพืชระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเผยแพร่ข้อมูลและให้ความรู้เกี่ยวกับสารเคมีเกษตรผ่านการอบรมหรือจัดงานสัมมนา การควบคุมคุณภาพของวัตถุอันตรายทางการเกษตร และการแก้ไขปัญหาสารเคมีปลอม